ดูแลคนที่เรารักตั้งแต่ตอนที่เขายังเดินได้ ดีกว่าไหม

เป็นความห่วงใย ที่ผมอยากจะบอกให้เพื่อนๆรู้ว่า หากการดูแลคนที่เรารัก หากการที่เราจะสามารถช่วยเพิ่มความสบายเวลาเดิน อย่ารอจนเข่าเสื่อมมากๆแล้วค่อยมาดูแล มันอาจจะสายเกินไป อ่านบทความดีๆเรื่องการดูแลสุขภาพข้อเข่าจากที่นี่ การดูแลอาการข้อเข่าเสื่อม

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คำคมน่าคิด เพื่อชีวิตทำงานดีๆ

คำคมน่าคิด เพื่อชีวิตทำงานดีๆ




1. ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์
ดาราสาวและโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากซีรี่ส์ดังอย่าง Sexand the City ที่ตบเท้าเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ
"เมื่อคนจริงต้องพบกับความล้มเหลว เขามักจะถอยกลับไปก้าวหนึ่งและพร้อมที่จะเริ่มเดินหน้าใหม่อีกครั้ง"

2. วินสตัน เชอร์ชิลล์
อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ถึง 2 สมัย เขาเป็นทั้งนักพูด ผู้นำทางการทหาร นักประวัติศาสตร์ นักเขียนรางวัลโนเบลจากงานเขียนเรื่อง The Second World War และ A Historyof the English-Speaking Peoples
"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่"

3. เคท แบลนเช็ตต์
ผู้กำกับละครเวทีและนักแสดงผู้คว้ารางวัลออสการ์ในปี 2004 จากภาพยนตร์เรื่องThe Aviator
"ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองกำลังจะล้มลงหรือแพ้ ทำยังไงก็ได้ให้ล้มลงอย่างสง่าที่สุด"

4. มาเรีย ชาราโปวา
นักเทนนิสระดับโลกผู้คว้ารางวัลแกรนด์สแลมมาแล้วถึง 3 ครั้ง แถมยังสร้างปรากฏการณ์ให้โลกตะลึง เมื่อเธอสามารถเอาชนะคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเซเรนา วิลเลียมส์ ในการแข่งขันวิมเบิลดันรอบสุดท้ายขณะที่มีอายุ 17 ปีเท่านั้น
"ฉันไม่พยายามที่จะทำตัวให้เก่งเหมือนนักเทนนิสคนอื่นๆ ในการแข่งขันฉันฝึกซ้อมตามตารางและพยายามทำในสิ่งที่ฉันทำเป็นปกติ ไม่เคยคิดที่จะแข่งกับใครนอกจากแข่งกับตัวเอง"

5. คาลวิน ไคลน์
ดีไซเนอร์แบรนด์เก๋และหรูจากอเมริกาผู้ได้รับการยกย่องจาก Vogue ให้เป็นผู้นำในเรื่องความมีรสนิยมด้านการออกแบบที่เรียบแต่โก้ในแบบมินิมัล ในปี 1969
"ผมไม่ลุ่มหลงไปกับคำว่า “ชัยชนะ” มากเกินไป บางทีสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ"

6. โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี
น้องชายของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ แถมยังเป็นวุฒิสมาชิกในปี 1965 - 1968 และทำคุณประโยชน์มากมาย จนในที่สุดในปี 1998 จอร์ช ดับเบิลยู. บุช ก็ได้ยกย่องให้เขาเป็นบุคคลสำคัญจากการร่างสิทธิมนุษยชนเพื่อปกป้องคนผิวสี ดังนั้นเราจะสังเกตเห็นรูปหน้าของเขาทางด้านหลังของเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯรุ่นพิเศษเพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณความดีที่เขาทำเพื่อประเทศ
"คนที่ไม่หวั่นต่อความผิดหวังคือคนที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่"

7. บิล เกตส์
นักธุรกิจที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2008 ก่อนที่จะมาเป็นซีอีโอของบริษัทผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่างไมโครซอฟต์ เขาเคยเขียนโปรแกรมเกมโอเอกซ์ใส่ไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี
"ถ้าคุณไม่สามารถทำอะไรก็ตามให้ดีได้ ก็จงพยายามทำให้มันดูดีที่สุด"

8. คอนราด ฮิลตัน
นักธุรกิจชาวอเมริกันและผู้ก่อตั้งโรงแรมฮิลตันอันลือเลื่อง คุณปู่ของดาราสาวสุดเผ็ดอย่างปารีสและนิกกี้ ฮิลตัน
"ความสำเร็จมักจะมาพร้อมกับคำว่าลงมือทำ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะคิดนำผู้อื่นเสมอ พวกเขาอาจเคยทำพลาดบ้าง แต่ไม่เคยถอย"

9. มารายห์ แครีย์
ดิว่าชาวอเมริกันคนแรกที่มีเพลงฮิตติดอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดชาร์ตถึง 5 เพลง แต่ถึงแม้ว่าช่วงปี 2000 เธออาจจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ทั้งในการที่เธอหันมาจับงานเพลงแนวฮิปฮ็อป อีกทั้งหนังที่เธอเล่นก็
ล้มไม่เป็นท่า แต่ในที่สุดเธอก็กลับมาผงาดได้อีกครั้งกับอัลบั้มล่าสุดที่ชื่อว่า E=MC2
"อย่ายอมแพ้หรือหมดกำลังใจง่ายๆ เพียงเพราะไปฟังเสียงคนที่คอยวิพากษ์วิจารณ์คุณในแง่ลบให้เสียกำลังใจ"

10. เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน
นักธุรกิจชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุแค่ 16 ปีจากการก่อตั้งแมกกาซีนที่ชื่อว่า Student และเป็นเจ้าของแบรนด์ Virgin ที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 360 บริษัท
"โอกาสทางธุรกิจก็เหมือนกันกับการรอรถประจำทางนั่นแหละ พลาดคันนี้ก็มีคันหน้า"

11. สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง
นักฟิสิกส์ระดับโลกชาวอังกฤษและยังเป็นอาจารย์คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ผู้ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาแม้จะป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อลีบจนกระทั่งเดินไม่ได้ แต่ก็ยังคงเดินหน้า มุ่งมั่นและศึกษาในจักรวาลวิทยา และบทความเรื่องหลุมดำของเขาก็โด่งดังจนได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก
"คุณเองก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ซะก่อน"

12. นิโคล คิดแมน
หนึ่งในดาราสาวที่มีค่าตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด นอกจากนี้เธอยังเป็นทูตยูนิเซฟ นักร้อง (หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge ออกฉาย)ในปี 2006 เธอได้รับการยกย่องจากรัฐบาลออสเตรเลียโดยได้รับรางวัล Companion of the Order of Australia ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศบ้านเกิด
"ฉันคิดว่าการที่คนเรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนที่เราร่วมงานด้วยเป็นสิ่งที่ดี บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องวางท่าสวย เชิด ตลอดเวลาก็ได้"

-----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ Mthai.com ที่มา Career Focus No.613 (16 AUG 2008) Sudsapda.com

เพลงประกอบละคร 365 วันแห่งรัก เพลงทั้งรักทั้งเหนื่อย


เพลงประกอบละคร365วันแห่งรัก, SriSurat Web Blog

ฟังเพลงฮิต ฟังเพลงใหม่ เพลงประกอบละคร 365 วันแห่งรัก เพลงทั้งรักทั้งเหนื่อย

ฟังเพลงฮิต ฟังเพลงใหม่ เพลงประกอบละคร365วันแห่งรัก เพลงทั้งรักทั้งเหนื่อย
MV/Title/เพลง: ทั้งรักทั้งเหนื่อย
Artist: แอน ธิติมา
Album/อัลบั้ม: เพลงประกอบละคร365วันแห่งรัก
คำร้อง สีฟ้า
ทำนอง/เรียบเรียง อภิไชย เย็นพูนสุข

ไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้จริงจริง
ความรักมันคืออะไร
ไม่เคยรู้ ว่ามันยากเกิน จะเข้าใจ
ไม่เคยรู้ ว่าปัญหามันมา
ประคับประคองแบบไหน
ให้ผ่านพ้น ในแต่ละวัน มันยากเย็น
รู้ไหมฉันเหนื่อยใจ

ตอบตัวเอง ไม่ได้สักที
ทำไมคนรักกันขนาดนี้
เหตุใดจึงไม่เข้าใจกันสักที
เจ็บลึกลึก ข้างในหัวใจ
ที่แก้ปัญหาที่เกิดไม่ได้สักที
รู้ไหมกับเธอ ทั้งรักและทั้งเหนื่อย

ไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้จริงจริง
ไม่รู้ใครคิดอะไร
อยากมีทาง เข้าไปถึงใจอีกคน
ไม่เคยรู้ ว่าลึกลึกใจคน
มันยากเกินจะหยั่งถึง
ไม่เคยรู้ ว่ามันลึกเกินจะเข้าใจ
รู้ไหมฉันเหนื่อยใจ

ตอบตัวเอง ไม่ได้สักที
ทำไมคนรักกันขนาดนี้
เหตุใดจึงไม่เข้าใจกันสักที
เจ็บลึกลึก ข้างในหัวใจ
ที่แก้ปัญหาที่เกิดไม่ได้สักที
ทั้งรักและเหนื่อยใจเธอรู้ไหม
ไม่เข้าใจกันสักที
เจ็บลึกลึก ข้างในหัวใจ
ที่แก้ปัญหาที่เกิดไม่ได้สักที
รู้ไหมกับเธอ ทั้งรักและทั้งเหนื่อย

6 คำถามชี้จุดเป็นตายในการสัมภาษณ์งาน ที่คุณเองต้องรู้ก่อนโดนถาม

คำถามสัมภาษณ์งาน

คำถามที่ผู้สัมภาษณ์มักจะนำมาถามผู้สมัครงาน อาจแบ่งเป็นประเภทตาม จุดประสงค์ ของการถามได้ดังนี้

1. คำถามเพื่อให้ทราบประวัติส่วนตัว

* ช่วยเล่าชีวิตในวัยเด็กให้ฟังหน่อย
* กรุณาเล่าเกี่ยวกับครอบครัวของคุณ
* ชีวิตครอบครัวของคุณมีความสุขดีไหม
* งานอดิเรกของคุณยามว่างคืออะไร
* คุณรู้สึกภูมิใจ เสียใจ เป็นทุกข์ และเป็นสุขกับเหตุการณ์ใดบ้างในชีวิต
* ครอบครัวคุณประกอบอาชีพอะไร
* ใครมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณมากที่สุด
* ใครเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ และเขามีอุปนิสัยอย่างไร คุณจึงเลือกคบเขา
* คุณอาศัยอยู่กับครอบครัวหรือเปล่า และพ่อกับแม่ใครมีอิทธิพลต่อคุณมากกว่ากัน


2. คำถามเพื่อให้ทราบประวัติการศึกษา

* ทำไมคุณถึงเลือกเรียนสาขาวิชานี้ (สาขาที่คุณจบมา)
* คุณ ทำกิจกรรมระหว่างเรียนบ้างหรือเปล่า และคุณได้รับตำแหน่งอะไรในการเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้น และคุณได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการร่วมกิจกรรมนั้น
* คุณหารายได้พิเศษระหว่างเรียน หรือระหว่างปิดเทอมบ้างหรือไม่
* คุณชอบเรียนวิชาใดเป็นพิเศษไหม และได้นำความรู้ที่ได้จากวิชานั้น มาใช้ในการทำงานบ้างหรือเปล่า
* ทำไมคุณถึงเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่คุณจบมา
* คุณมีแผนที่จะศึกษาต่อหรือไม่
* ระหว่างศึกษาระดับมหาวิทยาลัย คุณเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย


3. คำถามเพื่อให้ทราบประสบการณ์การทำงาน

* คุณเริ่มทำงานครั้งแรกเมื่อไหร่ และที่ไหน
* กรุณาเล่าเกี่ยวกับประวัติการทำงานและหน้าที่ที่รับผิดชอบ
* อะไรเป็นสิ่ง ที่ชักนำให้คุณมาสมัครงานในตำแหน่งนั้น
* คุณใช้หลักการอะไรในการทำงาน
* คุณได้ข้อคิดหรือเรียนรู้อะไรมาบ้างจากงานที่คุณเคยทำ
* ทำไมคุณถึงลาออกจากงาน
* ลักษณะงานที่คุณชอบมากที่สุดเป็นอย่างไร
* ถ้าคุณได้งานที่ไม่ค่อยชอบหรือไม่ถนัด คุณจะทำอย่างไร
* ในการทำงานที่ผ่านมาทั้งหมด คุณชอบนายจ้างคนไหนมากที่สุด เพราะอะไร
* ถ้าเราได้มีโอกาสพูดคุยกับนายจ้างเก่าของคุณ คุณคิดว่าเขาจะพูดถึงคุณ และผลงานของคุณอย่างไร
* คุณคิดว่าประสบการณ์ในการทำงานจำเป็นแค่ไหน


4. คำถามเพื่อให้ทราบความสามารถในการควบคุมอารมณ์

* ถ้าคุณอารมณ์เสีย คุณมีวิธีที่จะระบายอารมณอย่างไร
* คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าคนนินทาคุณลับหลัง
* คุณรู้สึกท้าทายและกล้าที่จะเผชิญ หรือว่าคุณอยากที่จะหลีกเลี่ยงมัน
* คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวคุณเอง


5. คำถามเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไป

* คุณมีจุดเด่นและจุดด้อยอะไร ทำไมจึงคิดเช่นนั้น
* คุณคิดว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดของสังคมไทยในตอนนี้คืออะไร สมมุติว่าถ้าคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณจะแก้ไขอย่างไร
* คุณฟังเพลงประเภทไหน
* สุขภาพโดยทั่วไปของคุณเป็นอย่างไร
* คุณมีนักการเมืองที่ชื่นชอบหรือไม่ เพราะอะไรจึงชอบเขา
* คุณคิดว่าพรรคการเมืองใดน่าจะได้รับการเลือกตั้งในปีนี้
* คุณจะกลับไปเลือกตั้งหรือไม่ (กรณีคุณเป็นคนต่างจังหวัด)


6. คำถามเกี่ยวกับงานที่มาสมัคร

* อะไรทำให้คุณสนใจบริษัทของเรา
* ทำไมคุณจึงคิดว่าจะชอบงานชนิดนี้
* คุณรู้จักบริษัทนี้ได้อย่างไร
* ถ้าคุณไม่ได้ตำแหน่งที่ต้องการ คุณจะสนใจตำแหน่งอื่นหรือไม่ ถ้าสนใจตำแหน่งอะไร และถ้าไม่สนใจเพราะอะไร
* คุณรู้จักใครในบริษัทนี้หรือไม่
* คุณจะเดินทางไปต่างจังหวัดได้หรือไม่
* คุณคาดหวังว่าจะได้เงินเดือนสักเท่าไร
* คุณอยากได้หัวหน้าประเภทไหน
* คุณอยากทำงานกับบริษัทเล็ก หรือบริษัทใหญ่ เพราะเหตุใด
* ถ้าคุณได้เป็นหัวหน้า คุณจะมีวิธีการจูงใจลูกน้องทำงาน อย่างเต็มความสามารถอย่างไร

คำถามนี้เป็นเพียงคำถามพื้นฐานที่ HR ส่วนใหญ่ใช้ในการสัมภาษณ์เบี้องต้น ยังต้องผ่านไปยังรอบหัวหน้างานที่จะเจาะลึกในเนื้องานอีกครั้งหนึ่ง

แต่อย่างไรเสีย HR ก็ต้องวัดให้ได้ว่าผู้สมัครนั้นเหมาะกับวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงเหมาะกับแผนกที่มีการบริหารที่ต่างกันด้วย

ส่วนผู้สมัครเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับบริษัทได้ รู้จักถึงแม้จะไม่ได้งานแต่ถ้าเรามั่นใจว่ามีความรู้ความสามารถจริง ก็แสดงว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กรนั้น ๆ ซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้สมัคร และบริษัทเช่นกัน ที่ไม่ต้องเสียเวลาทดลองงาน

ขอบคุณ nationejobs.com

10 วิธีรัก อย่างผู้หญิงฉลาด...

วิธีรักอย่างผู้หญิงฉลาด

1. รู้ว่า...ต้องใช้ชีวิตคุ้มค่า
เมื่อมีคนรัก จงปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น หากคุณเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่างกลายเป็น ผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่คุ้นเคย เขาก็จะค่อย ๆ หมดความสนใจในตัวคุณ ถ้าคุณมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วใครจะมองเห็นคุณค่าของคุณ

2. รู้ว่า...เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ว่าคุณจะหลงเสน่ห์เขาแค่ไหน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรอย่าลืมว่าคนแปลกหน้าก็ ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ถึงประวัติส่วนตัวเขาจะดี แต่ที่แน่ ๆ คุณไม่มีโอกาสรู้ว่าเขามีโรคติดต่อทางเพศหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่คุณต้องมีอะไรกับเขาถ้าคุณยังไม่พร้อมในทุกด้าน เรารู้จักรักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กส์ได้

3. รู้ว่า...ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ
ถ้าเขาคนนั้นทำให้คุณมีความสุข อบอุ่น หัวเราะได้มีความชอบอะไรเหมือนกันหลายอย่าง แถมเขายังฉลาด แต่ไม่หล่อเลย คุณสาว ๆ ลองไปเดินสังเกตุตามซูเปอร์มาเก็ตดู ผู้ชายที่มาซื้อของกับครอบครัวหรือเล่นอยู่กับลูก ๆ ตามชายหาด ผู้ชายเหล่านี้หน้าตาอาจจะไม่เหมือนนายแบบในนิตยสารเลย แต่เขานี่แหละที่เหมาะจะเป็นพ่อของลูกคุณ

4. รู้ว่า…ความรักมีปริมาณ 50-50
สิ่งที่คู่รักต้องการ คือ ความรักที่พบกันครึ่งทางมีการให้และรักอย่างสมดุล ต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่ห่วงใยกัน ช่วยเหลือกัน มอบความรักให้อีกฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

5. รู้ว่า...คุณไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้
เหตุผลก็คือ คุณไม่สามารถและไม่สมควรที่จะพยายามเปลี่ยนสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้นอกจากตัวของเขาเอง เก็บพลังใจกายและเวลาอันมีค่าที่จะสูญเสียไปไว้ให้ กับคนที่ต้องการความสัมพันธ์ดี ๆ กับเราดีกว่า หรือทำอะไรก็ได้ร้อยแปดประการที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น หากเขาแสดงการไม่ให้เกียรติคุณเขาก็ไม่สมควรที่จะได้รับความรัก ห่วงใยจากคุณอีก ถ้าปล่อยให้เขาทำตัวแย่กับเราเขาก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ

6. รู้ว่า...เป็นคนรักต่างกับคนรับใช้
จริงแล้วผู้ชายที่มีความรับผิดชอบดี เขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่อ่อนแอและเป็นเบี้ยล่างให้เขาตลอดเวลา หรือเกรงใจผู้อื่นจนปฏิเสธใครไม่เป็น เราต้องรู้จักปฏิเสธและโต้กลับบ้าง การปฏิเสธข้อเรียกร้องของคนอื่นบ้างไม่ใช่เรื่องหยาบคาย

7. รู้ว่า...การแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว
ใบทะเบียนสมรสไม่ใช่สิ่งที่จะรับรองว่าชีวิตคู่ของคุณจะอยู่กันตลอดรอดฝั่ง แต่การแต่งงานนั้นเป็น"งาน"จริง ๆ งานที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ ต้องทำความตกลงกันในหลายเรื่องอาศัยการประนีประนอม และหมายถึงการใช้ชีวิตซ้ำ ๆ ในแต่ละวันกับมนุษย์คนเดิมซึ่งเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องได้ดั่งใจคุณทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกหรือมีความคิดเห็นเหมือนคุณทุกเรื่อง และชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนติกตลอดเวลาก็สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่ แท้และฉลาดได้

8. รู้ว่า...ไม่ควรประจานข้อบกพร่องของตัวเองให้เขาฟัง
ทุกคนย่อมมีข้อเสียหรือนิสัยแย่ ๆ กันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ต้องไม่แฉทั้งหมดว่า เรามีข้อเสียอะไรบ้าง เพราะอาจจะทำให้ต้องโบกมือลา ตั้งแต่ก่อนจะได้คบกัน..และแน่นอนหนุ่ม ๆ ของคุณก็มีข้อเสียเช่นกันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณทั้งคู่จะปรับตัว ปรับใจ ยอมรับนิสัยแย่ ๆ ได้ไม ถ้าไม่ได้ก็คงต้องลาจากกัน

9. รู้ว่า...ต้องไม่เป็นหนังสือที่อ่านง่ายสำหรับเขา
คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า อะไรที่ได้มาอย่างง่าย ๆ มันก็ไปง่าย ๆ ได้เช่นกัน หรือดูไม่มีคุณค่าให้รักษานั่นเอง

10. รู้ว่า...อย่าเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้ชาย ถ้าคุณยังดูแลตัวเองไม่ได้
หากคุณยังไม่มีความเข้มแข็งพอ หรือดูแลตัวเองยังไม่ได้ แล้วอย่างนี้เราจะมีสิทธิ์อะไรไปต่อกรกับผู้ชายแมนๆ เขาได้ ดีไม่ดีจะโดนดูถูกเอาด้วย สาว ๆ คนไหน อยากรักอย่างฉลาด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปประยุกต์ใช้กับความรักตัวเองได้

ขอบคุณ เดลินิวส์ & teenee.com

วิธีชมคน...ที่คุณไม่ควรเอามาใช้กับเพื่อนสนิท

วิธีชมคนที่คิดว่าตัวเองสวย

1. เธอนี่สวยยังไง สวยยังงั้น...ไม่สวยยังไง ไม่สวยยังงั้น
2. สวยมาแต่ไกลเลย แต่ทำไมใกล้ๆแล้วไม่สวยวะ
3. สวยเหมือนลูกครึ่ง...อเมริกัน-บรามัน
4. สวยปลาสลิด (เวลากินปลาสลิด เขาตัดหัวปลาทิ้ง สังเกตมั้ย)
5. ชั้นอยากจะบอกว่าเธอสวยนะ แต่ชั้นทำใจไม่ได้จริงๆ

6. เธอสวยที่สุด..ในวัด (มีแต่พระกับเณร)
7. สวยปานศิลปินวาดไว้ ภาพแอ็บสแทร็ค
8. สวยไม่ฟังคำติฉินนินทา
9. เค้าว่ากันว่าตักบาตรด้วยดอกไม้ ชาติหน้าจะเกิดสวย
เธอน่าจะตักบาตรด้วยปากคลองตลาดเลยนะ
10. ถ้ามีคนสวยอย่างเธอซักร้อยคน โลกคงวุ่นวายน่าดู
ผู้คนคงล้มตายกันเกลื่อน ต้นไม้ต้นไร่ตายยกโคตร เกิดกลียุดเป็นแน่

11. สงกรานต์นี้มีใครเค้ามาสาดน้ำเธอบ้างมั้ย หรือมีแต่มาดำหัว
12. ถ้าเธอจมูกโด่งอีกนิด ปากบางกว่านี้อีกหน่อย สิวไม่เยอะอย่างนี้ เธอต้องสวยมากแน่ๆ น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้
13. เธอนี่สวยแบบคิดมาแล้ว (เหลือจากคัดอีกที)
14. เป็นคนไม่สวยกับเป็นคนบ้าคิดว่าตัวเองหน้าตาดี
ชั้นเลือกอย่างแรกนะ เธอก็น่าจะทำอย่างชั้นบ้าง
15. เธอสวยจนคนอื่นเค้าไม่อยากสวยไปด้วยเลย

16. สวยไม่บอกไม่รู้
17. ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน ฉันถึงอยากให้เธอทำความดีมากๆ จะได้มีดีกับเค้าบ้าง
18. คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ไบหน้า เพราะฉะนั้น ชั้นก็ว่าเธองามได้
19. สวยไม่แคร์เพื่อนร่วมโลก
20. ไอ้ที่คนเค้ามองเธอเวลาเธอเดินไปไหนมาไหนน่ะ
ไม่ใช่เพราะสวยหรอกนะ เพราะแปลกย่ะ อีอุบาทว์ อุ๊ย!!! ชั้นคงไม่ได้พูดแรงไปใช่มั้ย

(ขำๆนะ อย่าคิดมาก) ขอบคุณ teenee.com & CR : artsmen

วาสลีน ใช้ทำอะไรๆ ได้มากกว่าที่คุณรู้

วาสลีน มีประโยชน์มากกว่านั้น

1. กำจัดเสียงดังจากประตูที่เอี๊ยดอ๊าดกวนใจเมื่อเปิดปิดเพราะขึ้นสนิมด้วยการ ทาวาสลีนลงไปที่บานพับรับรองเงียบ แล้วยังลดการเกิดสนิมใหม่อีกด้วย

2. กำจัดรอยด่างจากน้ำบนไม้ ด้วยการทาวาสลีนลงบนผ้าแล้วถูลงไปที่รอยด่างทิ้งไว้หนึ่งคืน แล้วเช็ดซ้ำในตอนเช้ารอยด่างจะหายไป

3. ช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น ด้วยการผสมวาสลีนกับเกลือ แล้วนำมาใช้ขัดผิว

4. ลื่นปรื้ดๆ ด้วยการทาวาสลีนไปที่ล้อเลื่อนรถเข็น หรือล้อเสก็ตบอร์ดเด็กแนวหรือจะทาไปที่รางเลื่อนลิ้นชักก็..ลื่นปรื้ดได้เหมือนกัน

5. ขัดเงาเครื่องหนัง เช่น รองเท้าหรือกระเป๋า โดยทาบางให้ทั่ว
แล้วใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดซ้ำ จะช่วยให้ดูดี และเป็นการถนอมเครื่องหนังอีกด้วย

6. กันคราบสกปรกฝังลึกติดมือ ด้วยการทาวาสลีนก่อนเริ่มทำงานที่ต้องมือเลอะมากๆ
เช่น ขุดดิน ล้างรถ เสร็จงานเช็ดมือด้วยผ้าหรือกระดาษ แล้วล้างมือตามปกติ

7. ทาแผล เพื่อป้องกันแผลจากความชื้น และแบคทีเรีย(ถ้าบังเอิญมีแผลที่เท้าในหน้าฝน วาสลีนน่าจะช่วยได้ดีนะเนี่ย)

8. ป้องกันการเกิดสนิม โดยทาที่น๊อต และสกรูก่อนใช้งาน

ขอบคุณที่มา : นิตยสาร Lisa & sanook.com

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์

อาหาร เหล่านี้ช่วยล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร)

หน่อไม้ฝรั่ง
นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายใน ช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน

บีทรูท
เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบ ๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด

เบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมาก นำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้

บร็อกโคลี
มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบ ๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่า หรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัด หรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็ว ๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก

มะนาว (lemons)
สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุต ดื่มเพิ่มความสดชื่น

ลินสีด (Linseed) หรือเมล็ดแฟล็กซ์
นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษ ให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบด แล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด

พริก
อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริกและมะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดี และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย

มะละกอ และสับปะรด
มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีน และกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อน ๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้น ๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน หรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาว ทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง

ผักสลัดน้ำ หรือวอเตอร์เครส
เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครสเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดี ท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอม หรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health Plus & kapook.com

การเดินทางของเม็ดทราย ในท้องทะเลกว้าง

ทรายเม็ดนี้ คงเดินทางมาไกล
บางคร้ังระยะทาง ไม่ได้ทำให้ชิวิตห่างกันอย่างเดียว
แต่ความคิด แนวคิด การมองโลกก็ทำให้ห่างออกไปด้วย
ความทรงจำ จะเป็นเหมือนสะพาน เชื่อม
ให้เราไม่ห่างไป ไม่ห่างกัน แม้ต้องเดินทางไกล
ทรายหลายๆเม็ด ย่อมมีเรื่องราวหลายร้อย หลายพันเรื่อง

ความทรงจำที่ไม่ดี แม้จะมีปนอยู่ แต่อย่าให้มันผ่านไปเปล่าๆ

เอามาเป็นเครื่องขัดเกลาให้เม็ดทรายเม็ดนี้ให้กลมเกลี้ยงขึ้น

และให้พร้อมที่จะเดินทางไกลต่อไป..

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แครอทมะนาวปั่น สดชื่น สุขภาพดี๊ดี..

แครอทมะนาวปั่น สดชื่น สุขภาพดี๊ดี..


ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จึงขอเสนอเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
มีเบต้าแคโรทีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยต้านมะเร็งด้วย แถมเค้ายังว่า
ทำให้ผิวพรรณดี ไม่แก่เร็วอีกต่างหาก
(อันนี้เป็นสาเหตุหลัก ทำให้รีบทำน้ำแครอททานเลยทีเดียว )

วันนี้ที่เราต้องเตรียมได้แก่

แครอท 1 หัว (สับละเีอียด)
น้ำเชื่อม
เกลือ
น้ำมะนาวคั้น
น้ำแข็งหลอด (เล็ก)

เริ่มปั่นกันเลย

ใส่แครอทประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ และเกลืออีก 1/2 ช้อนชาเรียบร้อยแล้วปั่นให้เข้ากันซักครู่
เติมน้ำแข็งใส่ลงไป ประมาณครึ่งโถปั่น จากนั้น กดปั่นเลยค่ะ
ลองชิมรสดู แล้วเพิ่มเติมรสชาดตามใจชอบค่ะ


ปล. ใครชอบออกเปรี้ยว จะหนักมะนาวซักหน่อยก็ได้
ว่าก็ว่าเถอะได้ทานน้ำปั่นตอนบ่ายๆเนี่ย สดชื่นจริงๆเลย
แถมเด็กๆก็ชอบด้วย เอามาทำเป็นหวานเย็นก็ดีนะครับ

ฟังเพลง : สุขภาพรัก - หนู มิเตอร์



ฟังเพลง : สุขภาพรัก - หนู มิเตอร์

เนื้อเพลง : สุขภาพรัก - หนู มิเตอร์
อยู่ห่างกันแสนไกล คิดถึงกันบ้าง
ไกลสุดตาน้องนาง อย่าจางรักกัน
จงเก็บใจไว้รอ รออย่าลืมสัมพันธ์
ถึงไกลกันสัญญา

จากกันเพียงแค่กาย แต่ใจยังอยู่
เพียงแค่เธอเฝ้าดู จะเห็นดวงตา
ลอยเด่นบนนภา มองจ้องตาขวัญใจ
เสร็จจากงานเมื่อใดจะรีบไปหา

* ยังไม่ลืมวันที่จากมา
สุดเหว่ว้า น้ำตายังเปื้อนเปียกหมอน
หลับยังฝันทุกคืน ตื่นห่วงหาหัวใจอาวรณ์
โอ้งามงอนเจ้าจะหลับฝันถึงกันหรือเปล่า

** นานจะนานแสนนานเพียงไหนไม่หวั่น
ขอให้เธอรักฉัน รักมั่นสองเรา
เติมแต่งความคะนึง คิดถึงกันค่ำเช้า
สุขภาพรักเราจะไม่อ่อนแอ

(ซ้ำ *, **)

ภูกระดึง เลย Phu Kradung, Thailand

หนาวแล้ว มาดูพระอาทิตย์ที่ภูกระดึงกันไหม กางเตนท์ ท่องป่า
สายหมอกที่งดงาม...ชีวิตที่คุณเลือกได้

ภูกระดึง ในความสมบูรณ์ สงบงาม (อสท)

ภูกระดึง ในความสมบูรณ์ สงบงาม (อสท)

ขอขอบคุณ

เรื่อง ธเมนศ งามสม
ภาพ นภดล กันบัว

1.สำหรับสถานที่บางแห่ง เมื่อไปเยือนแล้วก็ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ

กลางฤดูฝน ภูกระดึงที่ผมไปเยือนช่างสมบูรณ์และงดงาม ทางเดินเงียบสงัด ผืนดินนุ่มชุ่มชื้น ผืนป่าเขียวชอุ่ม ฝูงหมาจิ้งจอกออกหากินอย่างอิสรเสรี เช้าวันกลางสัปดาห์ วันที่ภูกระดึงไร้ผู้มาเยือน เราค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นยอดภู ร้านค้าริมทางบางร้านกำลังซ่อมแซม ผืนดินแทบไร้รอยเท้า

"พอเข้าหนาวนั่นละ คนถึงจะมากันเยอะ" ชายชราเจ้าของร้านที่ซำกอซาง เล่าพลางยิ้มอารมณ์ดี แกขึ้นมาขายของบนภูตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2508

เว็บบอร์ดท่องเที่ยวเว็บบอร์ดท่องเที่ยว

ภูกระดึง

เว็บบอร์ดท่องเที่ยวเว็บบอร์ดท่องเที่ยว

ภูกระดึง

เว็บบอร์ดท่องเที่ยวเว็บบอร์ดท่องเที่ยว

ภูกระดึง

เว็บบอร์ดท่องเที่ยวเว็บบอร์ดท่องเที่ยว
ภูกระดึง

หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง


เห็นคนแถวนี้มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปดูพญาเสือโคร่งบานตอนใกล้ปีใหม่ อยากไปมั่ง แต่ไปไม่ได้ ติดงาน ติดเรื่องเงิน ติดเพื่อน ( ไปคนเดียวมันเหงา)

แล้วจะไปไหนดีที่มีดอกไม้เยอะๆ เสียตังค์น้อยๆ

นี่เลย งานพรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง
ดูเหมือนจะจัดปลายเดือน พย ไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม น่าจะหลังวันที่ 5 ธค นะ เพื่อเฉลิมฉลองวันพ่อ

มีรูปดอกไม้มาฝากด้วยค่ะ ไม่ได้ถ่ายจากสวนหลวงหรอกค่ะ เอามาโพสเพื่อความครื้นเครงสำหรับคนที่ไปเที่ยวไกลไม่ได้
สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ


สวนหลวง, Bangkok, ร9,  - หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี ..ไม่ไกล ..ไม่แพง, รูปภาพถ่ายทริปท่องเที่ยวสวยๆ
ขอบคุณรูปสวยๆจาก

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี

ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี
ความสุขเป็นสิ่งดีที่ใครๆ ก็อยากได้
แม้จะรู้ว่ามักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน ถ้าเราไม่ฝึกจิตใจ
ฝึกให้มีนิสัยให้มีความสุขอย่างแท้จริง ความสุขก็หลุดล่องลอยไปจากตัวเราได้ง่าย
ความสุขจากการมองโลกในแง่ดี
เป็นความสุขในแนวนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้อย่างหนึ่ง
มนุษย์ทั่วไปมักจะมองโลก ชีวิตตัวเอง และคนอื่นเป็น 3 แบบ คือ


มองโลกในแง่ดี หรือบวก (+)
มองโลกในแง่ไม่ดี หรือ (-)
และมองโลกในแง่กลางๆ หรือ ศูนย์ (0)


มีรายงานว่าคนที่คิดแบบบวกหรือมองโลกในแง่ดี จะมีความสุขมากกว่าอีก 2
ชนิด เพราะในช่วงที่คิดแบบบวกนั้นจะมีการหลั่งสารของความสุขออกมา
ทำให้เกิดความหวังในชีวิตเสมอ มีกำลังใจ
มองตัวเองและคนอื่นแบบมีค่าและมีศักดิ์ศรี มีมิตรเพิ่มขึ้น เข้ากับผู้คนได้ง่าย
ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ
และสามารถแก้ไขอุปสรรคในชีวิตและการทำงานได้ดี รับความจริงได้ง่าย ขอโทษเป็น
มีอารมณ์ขันได้ ไม่กังวลใจหรือสงสัยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
และรู้จักทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ด้วย
สิ่งดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ทำให้มีความสุขทั้งนั้น
คนที่มองโลกในด้านดีมักมีจิตใต้สำนึกที่ดี
เคยได้รับความรักและความสนใจจากครอบครัวมาก่อน
หรือเป็นเพราะเห็นแบบอย่างและประโยชน์จาการมองโลกในด้านดีจากสิ่งแวดล้อม
หรือครอบครัวมาก่อน หรือเป็นเพราะมีการฝึกจิตใจให้มองโลกในด้านดีเสมอมา


อาจมีคำถามว่าถ้าเรามองโลกในด้านดี แล้วเชื่อคนอื่นได้ง่ายๆ
มิเสียรู้คนบ่อยๆ หรือ


ก็ชอบตอบว่า คนมองโลกในด้านดีก็มีสติและปัญญา
รู้จักเลือกว่าควรจะปล่อยใจให้เชื่อคนแต่ละคนได้ต่างกัน
รู้จักวางตัวและถอยตัวเป็นเมื่อพบคนไม่ดีหรือสิ่งไม่ดีจริงๆ
เขาไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ชักจูงได้ง่าย หรือแม้จะเสียรู้บ้างก็ไม่เสียใจมากนัก
พร้อมจะรับไว้เป็นบทเรียน และยังมองโลกในแง่ดีอีกต่อไป
เพราะรู้ว่าประโยชน์มีมากกว่าโทษ


พัฒนาความคิดจาก (-) ให้เป็น (+) ในระดับจิตใต้สำนึก
เพื่อจะได้มองโลกในแง่ดี จากนั้นเราจะรู้จักรักตัวเองเป็นมากขึ้น
อยากทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองเช่น การออกกำลังกาย การสร้างความสัมพันธ์ดีๆ
กับเพื่อนมากขึ้น ได้สอนวิธีให้ความรัก ถนอมความรัก
วิธีการให้อภัยตนเองและคนอื่น รวมทั้งวิธีลดความเครียด มองข้ามความหยุมหยิม
ไม่ทำตัวน่าเบื่อจำเจ รู้จักลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
ซาบซึ้งความดีของตนเองและคนอื่น
รู้จักยิ้มและมีความสุขได้แม้ในยามที่ลำบากหรือไม่มีความสุข


ประโยชน์ของการฝึกนิสัยให้มองโลกในแง่ดีนั้นมีมากมาย
เป็นการเปิดประตูให้เป็นมิตรกับตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น
และทำให้ชีวิตมีพลังของการคิดในแนวบวก ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่มี


อ่าน ถึงตรงนี้แล้วนึกอยากฝึกตัวเองให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้นไหมเล่า
อย่าบอกว่าฝึกไม่ได้ หรือมันยากเกินไป
เพราะนั้นเป็นการเริ่มต้นวิธีคิดแบบคนมองโลกในแง่ไม่ดีต่างหาก

ปัญหามีให้สู้ ไม่ใช่ให้ถอย

""" ปัญหามีให้สู้ ไม่ใช่ให้ถอย"""
ปัญหามีให้สู้ ไม่ใช่ให้ถอย !!! *


" ก๊อกๆๆๆๆ "
เสียงเคาะประตูที่ดังผ่านแผ่นไม้มาพร้อมๆกับเสียง
ที่ดูเหมือนกับเป็นคำสั่งว่า " ตื่นนอนได้แล้ว
จะได้ช่วยกันทำงาน "
เด็กน้อยคนหนึ่งตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงีย สลึมสลือ
มือจับผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงมาพับและตอบรับเสียงปลุกนั้น


" อืม.....ตื่นแล้ว ได้ยินแล้ว "
" นี่วันหยุดนะเนี่ย " เด็กน้อยบ่นกับตัวเอง


" เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปถอนหญ้าที่ไร่นะ "
พ่อสั่งขณะที่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้ลูกชาย
เด็กน้อยพยักหน้าตอบและลงมือทานอาหารมื้อแรกของวัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ
เด็กน้อยเดินไปหยิบหมวกและเสื้อแขนยาวมาสวมเพื่อกันแดด
แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโบราณ
สภาพเก่าโทรม บ่งบอกถึงอายุการใช้งาน
ซึ่งมีพ่อเป็นผู้ขี่


ในระหว่างทางเด็กน้อยคุยกับพ่อตลอด
เขาป้อนคำถามที่อยากรู้
ซึ่งบางครั้งดูเหมือนกับว่าผู้เป็นพ่อจะพยายามสอดแทรกให้แง่คิดตลอด
โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่นานนักก็ถึงไร่ที่เขามีภาระกิจที่จะต้องทำ
" ถอนหญ้า "ภาระกิจที่ได้รับมอบหมาย
ซึ่งหญ้าเปรียบเสมือน " ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่ "


" เดี๋ยวเจ้าถอนแปลงนี้นะ "
พ่อสั่งพร้อมกับชี้นิวไปที่แปลงผัก
เด็กน้อยรับคำและลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผักทีละต้น
ทีละต้น
จนกระทั่งศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่
หายไปจากแปลงผักจนหมดสิ้น
" ไปพักกินน้ำที่ใต้ต้นมะม่วงก่อน....ปะ "
เด็กน้อยรับคำพ่อแล้วเดินไปพัก
" กลับมาเร็วๆนะ ยังมีอีกแปลงหนึ่ง "
เสียงพ่อสั่งตามหลังเด็กน้อย


หลังจากได้พักกินน้ำ
พ่อได้ส่งจอบให้เด็กน้อยพร้อมกับพูดว่า
" เอ้า...เอาไปถากหญ้า "
เด็กน้อยรับจอบและตรงไปยังแปลงผักเพื่อทำภาระกิจต่อ
ดูเหมือนกับว่าเด็กน้อยจะพึงพอใจกับการใช้จอบถากหญ้ามากกว่าการใช้มือถอน


เหตุผลก็คือ
มันทำให้เขาสามารถทำงานได้รวดเร็ว
ซึ่งไม่นานนักเขาก็จัดการกับ
ศัตรูตัวฉกาจของชาวไร่อย่างราบคาบ
หลังจากที่ภาระกิจเสร็จสิ้นลง พ่อลูกก็พากันกลับบ้าน
ระหว่างทางเด็กน้อยถาม
" ทำไมไม่ให้ผมใช้จอบตั้งแต่แรกล่ะ
ทั้งๆที่ทำงานได้เร็วกว่า "
พ่อไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้ม เก็บซ่อนคำตอบไว้เพียงผู้เดียว


ผ่านไป 1 สัปดาห์ พ่อได้พาเด็กน้อยกลับไปที่ไร่อีก
สิ่งที่เด็กน้อยเห็นก็คือ
** แปลงที่ใช้มือถอน
บัดนี้ไม่มีหญ้าให้เขาถอนเลยแม้แต่ต้นเดียว แต่...
** แปลงที่ใช้จอบถาก กลับมีต้นหญ้าปกคลุมเหมือนเดิม
" ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ " เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย
ทั้งๆที่เขาได้จัดการมันหมดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อตอบ
" แปลงที่เจ้าใช้มือถอนน่ะ เจ้าได้ถอนมันถึงรากถึงโคน
ส่วนแปลงที่เจ้าใช้จอบถากน่ะ
เจ้าเพียงแต่ตัดเอาส่วนปลายของมันออกเท่านั้น
มันยังคงมีส่วนที่ฝังลึกอยู่ในดินอีก
มันก็เหมือนกับปัญหาต่างๆที่เราพบเจอนั่นแหละ
ถ้าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยปล่อยสาเหตุของปัญหาไว้
ไม่นานนักปัญหานั้นก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าอีก


แต่ถ้าเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันอาจจะยากสักนิด
แต่มันก็ทำให้ปัญหานั้นหมดไปได้ "
เด็กน้อยยิ้มรับด้วยความเข้าใจ


จงหันหน้าสู้กับปัญหา.....อย่าท้อถอย
wwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwww
ลดความรุนแรงในความคิด ชีวิตและสังคมเป็นสุข
ขอบคุณที่อ่าน ถ้าชอบก็ส่งต่อ ไม่ชอบก็ delete
อิสระเลือกชีวิตอย่างสร้างสรรค์ ด้วยตัวคุณเอง

wwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwww
=ชอบคุณบทความดีๆจากเพื่อนๆ=นะครับ

แนะนำที่ท่องเที่ยว โป่งน้ำร้อนท่าปาย แม่ฮ่องสอน

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหน้าหนาว อาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนผ่อนคลายกายและใจในธรรมชาติโป่งน้ำร้อนท่าปาย แม่ฮ่องสอน

ธรรมชาติโป่งน้ำร้อนท่าปาย แม่ฮ่องสอน

สุข ใด คง ไม่ เท่ากับ การ ได้ นอน อาบ น้ำแร่ แสน สบาย ณ โป่งน้ำร้อน ท่า ปาย พลัง น้ำแร่ ร้อนจาก ธรรมชาติ มาก ประโยชน์ จะ ช่วย ผ่อน คลาย ใจ และ กาย ให้ ถึง ขีด สุด

โป่งน้ำร้อน ท่า ปาย เป็น อีก หนึ่ง สถาน ที่ ท่อง เที่ยว ขึ้น ชื่อ ของ อุทยาน แห่ง ชาติ ห้วย น้ำ ดัง จาก ลานจอด รถ ออกแรง เดิน เท้า เข้าไป อีก ประมาณ 500 เมตร คุณ จะ พบ โป่งน้ำร้อน ที่ กำลัง ผุด เป็น พราย ฟอง2 บ่อ ใหญ่ ราย รอบ ด้วย ป่า ไม้ สัก อัน อุดม สมบูรณ์ ปกคลุม ด้วย หมอก ควัน บางๆ บาง คน อาจ รับ รู้ ถึง กลิ่น ฉุนเล็ก น้อย ซึ่ง เป็นก ลิ่น จาก แร่ ธาตุ ใต้ ผิว ดิน อุณหภูมิ ของ น้ำ ใน โป่ง สูง ถึง 80 องศา เซลเซียส สูง เกิน ไป กับการ ลง ไป แช่ ตัว บาง ช่วง เป็น ธาร กว้าง แต่ใน ขณะ ที่ บาง ช่วง ก็ เป็น แอ่ง สา มา รถ ลง ไป นอน แช่ ใน น้ำ อุ่นๆ ได้สบาย อารมณ์ จะ เลือก ผ่อน คลาย เป็น ส่วน ตัว หรือ ใช้ เวลา กับ ครอบครัว ที่รัก ก็ เพลิดเพลิน ได้ ตามใจ ชอบ


นอกจาก นี้ ยัง มี เส้น ทาง เดิน ป่า ศึกษา ธรรมชาติ สำหรับ ทุก คน ที่ มี หัวใจ รัก ป่า เขา ลำเนา ไพร อย่าง เต็มเปี่ยม รับ ฟัง เสียง นก ร้อง ขับ ขาน สายลม เย็น โบก สะบัด พัด โชย ชื่น กลาง แสงแดด อุ่น ที่ ถือว่า เป็น สิ่ง ที่ ดี นักต่อ สุขภาพ ยิ่ง หาก ได้ กาง เต๊นท์ นอน พัก ค้าง แรม สัก คืน คุณ จะ ได้ แหงน หน้า มอง ดู ดาว นับ พัน กระจ่าง ฟ้า

ยาม ค่ำ รื่นรมย์ กับ ความ งาม ของ ธรรมชาติ ที่ แสนเรียบ ง่าย มี เพียง แสง ดาว และ แสงจันทร์ คลอ เคล้าบรรยากาศ พา ให้ คุณ นอน หลับ ฝัน ดี ตลอด คืน

ข้อมูลจาก หนังสือ 102 แหล่องท่องเที่ยว ทั่วไทย

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิตต้องมีเป้าหมาย

ชีวิตต้องมีเป้าหมาย
การเริ่มต้นวางแผนการเงินอย่างมี ประสิทธิภาพ เริ่มได้ง่ายๆ
ที่การกำหนดเป้าหมายเพื่อให้มีชีวิตที่ดีในบันปลายเป็นเป้าหมายของชีวิต
แล้วจึงวางแผนสนับสนุนในแต่ละช่วงอายุเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหลักของชีวิต
หลังจากผ่านชีวิตการทำงานมาหลายปี การใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีความสุข
มีอิสระ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของทุกคน
การเดินทางไปยังเป้าหมายการเกษียณอย่างเป็นสุขดังกล่าว
ต้องอาศัยการเริ่มต้นที่ดีตั้งแต่ในปัจจุบัน
การวางแผนและการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การสร้าง
สมดุลในชีวิตให้เกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก
วัฏจักรในการวางแผนการเงินจึง เริ่มต้นที่กำหนดเป้าหมายชีวิต
แล้วจึงเริ่มสร้างแผนการเงิน ทั้งแผนการออม การลงทุน การประกัน การเกษียณ ฯลฯ
เราควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลให้แก่ชีวิตในปัจจุบันทั้งสามด้าน คือ
ชีวิตครอบครัว การทำงาน และสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายชีวิต
การไม่วางแผนและไม่มีเป้าหมายชีวิตอาจทำให้เรามุ่งทำงานหนักเกินไปจนอาจเสียสมด ุลในชีวิตได้


การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร เราอยากจะประสบความสำเร็จในเรื่องใด
จากนั้น จึงใช้ความพยายามเพื่อต่อสู้ ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
เพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ตั้งใจไว้ เมื่อใดที่เราสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้
เมื่อนั้นแหละค่ะที่เรียกว่าเราประสบความสำเร็จ
หากเราไม่มีความใฝ่ฝันในชีวิตเลย อยู่ไปวัน ๆ โดยไม่มีเป้าหมายในอนาคต
หรือมีเป้าหมายอยู่บ้าง
แต่ไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับการไปให้ถึงเป้าหมายนั้นสักเท่าไหร่
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีได้ยาก
ดังนั้นเรื่องของการตั้งเป้าหมายในชีวิตจึงเป็นเรื่องจำเป็นขอให้ทุกท่านลอง
คิดดูว่าในอนาคตท่านอยากได้อะไร อยากมีอะไรหรืออยากเป็นอะไร
ซึ่งก็ควรอยู่บนพื้นฐานความจริงที่เป็นไปได้ด้วยนะ จากนั้นจึงวางแผนว่า
จะต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
โดยอาจวางแผนทั้งแผนระยะสั้นภายใน 1 เดือน แผนระยะกลางภายใน 6 เดือน
หรือแผนระยะยาวภายใน 1-5 ปี
ทั้งนี้เพื่อให้เรารู้ตัวว่าเราจะต้องทำอะไรในช่วงเวลานั้น ๆ บ้าง เช่น
อยากมีบ้านเป็นของตัวเองภายใน 10 ปี
ก็ต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบดูว่าจะหาเงินจากไหนมาเป็นเงินดาวน์
และต้องผ่อนเดือนละเท่าไรจึงจะหมดใน 10 ปี
จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินมาผ่อนบ้าน เพื่อทำฝันให้เป็นความจริง
เราอาจจะต้องทำงานหนัก ต้องเหนื่อยยาก ต้องอดออม ต้องลำบากจนแทบหมดแรง
แต่เมื่อใดที่คิดถีงการซื้อบ้านซึ่งเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา
เราก็จะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
เพราะมองเห็นความฝันที่กำลังจะเป็นจริงของเรากำลังรอเราอยู่ข้างหน้า
เป้าหมายชีวิต จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ช่วยให้ชีวิตมีความหมายและช่วยเป็นกำลังใจยามท้อแท้ได้ด้วย

ผู้นำที่ดี คือ นักฟังชั้นยอด

ผู้นำที่ดี คือ นักฟังชั้นยอด
คุณคิดว่าผู้นำที่ เก่งกล้าสามารถ เป็นที่ชื่นชมสำหรับทีมงาน
ลูกค้าและคนทั่วไปนั้นเป็นผู้นำที่พูดเก่ง เจ้าคารมคมคาย ปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ
หรือเป็นผู้นำที่มีทักษะและศิลปะในการฟังชั้นเยี่ยม
ผู้นำแบบไหนกันแน่ที่จะเป็นผู้นำยั่งยืน อยู่ได้ตลอดกาล
พร้อมนำทีมงานและกลุ่มชนให้เดินตามตนเองได้โดยไม่ลังเล


คำตอบ คือ ผู้นำที่เป็นนักฟังชั้นยอดครับ!
และเป็นที่แปลกใจหากเราสำรวจองค์กรต่างๆ และโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้บริหาร
ร้อยทั้งร้อยแทบไม่มีการฝึกอบรมทักษะการฟังเลย
มีแต่การอบรมพัฒนาบุคลิกภาพและความสามารถการพูดในที่ชุมชน!
ตรงนี้จึงเป็นที่มาของปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งในระดับองค์กร สังคม
และแม้แต่ในระดับประเทศ เพราะหากคนฟังไม่มี มีแต่คนพูดหรือพ่นใส่กัน
ปัญหาและความวุ่นวายทั้งหลายก็จะไม่มีทางออก ดังสำนวนที่คุ้นหูว่า
ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง!


ดร.จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ ขุมทองของผู้นำ Leadership
Gold ว่า ผู้นำส่วนใหญ่เป็นนักฟังระดับเลวร้าย
เพราะคิดว่าการพูดสำคัญกว่าการฟัง แต่ผู้นำที่แหวกแนวจะรู้ว่า ดีกว่าถ้าฟังก่อน
แล้วค่อยพูดทีหลัง และในยามที่รับฟัง จะฟังอย่างตั้งใจและมีศิลปะ


เราเคยเจอผู้ บริหาร (หรือตัวเราเอง) ที่มักเหม่อลอยเวลามีคนมาพูดอะไรให้ฟัง
หรือระหว่างที่รับฟังอยู่ ในใจก็เริ่มพูดแข่ง
และตัดบทออกมาทั้งที่บางครั้งทีมงานยังพูดไม่จบหรือไม่ครับ
นี่เป็นสัญญาณบอกเหตุร้ายของทักษะการฟังยอดแย่ เป็นผู้นำที่ไม่มีความอดทน
หรือไม่มีขันติในการฟัง เพราะกิเลสในใจนั้นมันจะแต่ง จะปรุง
จะผลักดันให้เราเผยอปากและโพล่งออกมาในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
และหากลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า บ่อยครั้งเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร
ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ คือ มีแต่เสียกับเสีย


จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ตัวเราหรอกครับที่ผลักดันให้เราโพล่งออกมา แต่เป็นอัตตาตัวตน
และกิเลสล้วนๆ ที่เสี้ยมสอน ลองฝึกดูให้นั่งนิ่งๆ ตั้งใจฟังคนที่มาคุยด้วย
เราจะเห็นว่ามีแรงอัดที่เริ่มจุกขึ้นมาจากในอก พยายามดันให้เราโต้ตอบออกมา
หากเราไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งฟังนิ่งๆ แรงอัดนี้จะแรงขึ้นๆ
แต่พอสักพักที่เรามองเห็นได้ทัน ก็จะสลายหายไป แต่หากมองไม่ทัน
ก็จะกลายเป็นคำพูด นั่นคือ วจีกรรมที่ได้ทำในแต่ละครั้ง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
ตามปัจจัยปรุงแต่งภายนอกและแรงอัดจากภายใน


ทำไมนักฟังจึงเป็นผู้นำที่ทรงประสิทธิผล


1. เพราะผู้นำเข้าใจผู้คนก่อนที่จะนำเขา


ผู้นำที่เก่งจะไว ต่อความรู้สึก ความหวัง และ ความฝันของทีมงาน
เจาะเข้าไปในหัวใจของคนรอบข้าง ผู้นำแตะหัวใจก่อนจะขอมือมาร่วมงาน ดังนั้น
หากคุณไม่เคยเชื่อมต่อ ไม่เคยรับฟังอารมณ์และความรู้สึกของทีมงาน
คุณจะไม่สามารถนำทางเขาได้เลย


2. การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการฟัง


เราจะเรียนรู้ อะไรใหม่ๆ ได้อย่างไร หากเราเป็นผู้พูดอย่างเดียว
คนที่ฉลาดมากถึงมากที่สุดจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการรับฟัง
เพราะนั่นคือสุดยอดของการเรียนรู้ นักจัดรายการทีวีอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง
แลร์รี่ คิง กล่าวไว้ว่า ผมเตือนตัวเองในทุกเช้า
คำพูดที่หลุดออกจากปากผมวันนี้จะไม่สอนสั่งให้ความรู้แก่ผมเลย ดังนั้น
หากผมจะเรียนรู้อะไรได้ ผมต้องฟัง


3. การรับฟังยับยั้งปัญหาไม่ให้ขยายใหญ่โต


ภาษิตอินเดียน แดงกล่าวไว้ว่า รับฟังเสียงกระซิบ คุณจะไม่ได้ยินเสียงกรีดร้อง
ผู้นำที่ดีใส่ใจในปัญหาเล็กน้อยก่อนจะลุกลามใหญ่โต
และให้ฟังในสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย (Unspoken Words)
โดยเฉพาะสังคมไทยเป็นวัฒนธรรมที่ไม่กล้าแสดงออก หากถามอะไรก็จะไม่พูดไม่จา
แต่เก็บไว้ในใจและไประบายที่อื่น
ผู้นำจึงควรมีเรดาร์พิเศษที่จะต้องดักจับสัญญาณต่างๆ ไว้ก่อน


4. การรับฟังสร้างความไว้วางใจ


ต้นทุนสำคัญสุดใน ความสัมพันธ์และประสิทธิภาพในการทำงาน คือ ความไว้วางใจ
ความจริงใจ และตรงไปตรงมา หากผู้นำและผู้ตามต่างก็ไม่เป็นผู้ฟังที่ดี
มีทักษะการฟังที่ย่ำแย่ ไม่ใส่ใจ ไม่พัฒนาแก้ไขปรับปรุง
ความไม่น่าไว้วางใจก็จะเกิดขึ้น เป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในการทำงาน
ท้ายที่สุด โอกาสดีๆ ก็จะหลุดลอยไป


5. การรับฟังช่วยปรับปรุงองค์กร


ลี เอียค็อกคา อดีตประธานบริษัทไครสเลอร์ได้กล่าวไว้ว่า
การรับฟังก่อให้เกิดผลต่างระหว่างบริษัทสามัญกับบริษัทยิ่งใหญ่
นั่นหมายถึงการรับฟังทุกระดับ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง แนวดิ่ง แนวราบ
ตั้งแต่ลูกค้า ทีมงาน ผู้บริหาร และทุกๆ คน


สรุปว่า การฟังปันผลให้เสมอ ยิ่งฟังมาก รู้มาก ก็ยิ่งทำงานให้ง่ายขึ้น
ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะมอบให้ใครได้ คือ ความใส่ใจ


ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ซีอีโอผู้นำพุทธวิถีมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานอย่างลงตัว
จนเกิดกระแส การตลาดสีขาว White Ocean Strategy
สร้างพลังและแรงบันดาลใจให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
ให้หันมาสนใจในเรื่องพลังของสมองซีกขวา คุณธรรมและจริยธรรม
ล่าสุดได้นำเสนอแนวคิด DQ (Dharma Quotient)
ปัญญาที่เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริง
แก่นแท้ของการใช้ชีวิตและการบริหารงานอย่างมีความสุข

ไม่มีอะไรเที่เป็นไปไม่ได้

ไม่มีอะไรเที่เป็นไปไม่ได้
หว่านความคิด เก็บเกี่ยวการกระทำ
หว่านการกระทำ เก็บเกี่ยวอุปนิสัย
หว่านอุปนิสัย เก็บเกี่ยวลักษณะ
หว่านลักษณะ เก็บเกี่ยวจุดหมายปลายทาง"


"ก่อนอื่นเราต้องสร้างอุปนิสัยของเรา แล้วอุปนิสัยของเราก็จะกลับมาสร้างเรา"
"ให้ปลาแก่เขา ท่านได้เลี้ยงเขาเพียงวันเดียวสอนให้เขาตกปลา
ท่านได้เลี้ยงเขาไปตลอดชีวิต"
"ความสำเร็จอันสำคัญทุกอย่างนั้น เกิดจากการหลุดพ้นจากแนวคิดแบบเดิมทั้งสิ้น"
"ปัญหาสำคัญที่เราประสบอยู่ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระดับความคิดเดิม
ต้องเปลี่ยนความคิด ชีวิตจึงเปลี่ยน"


การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ต้องมีอุปสรรคและปัญหาที่คอยให้เราต้องแก้ไขอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กสิ่งที่นักธุรกิจทุกคนต้องมีก็คือ
ความขยันอดทน ความมุมานะ และความพยายามอย่างยิ่งยวด ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก
เป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตโดยไม่ผ่านบันไดขั้นแรก
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จใดๆ
ก็ตามคือการที่เราได้เริ่มลงมือทำด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า... "
ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้"
ผู้ประสบความสำเร็จกว่าจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้
ต้องผ่านอุปสรรคมากมายมานับไม่ถ้วน การที่ได้ลงมือทำ
ก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์ต่างๆ มากมาย จนแข็งแกร่ง
และพร้อมที่จะก้าวเดินอย่างมั่นคง จากบันไดขั้นแรก
สู่ขึ้นสูงสุดด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ คนอื่นทำได้
คุณก็ทำได้เช่นกัน ต่างกันที่จุดเริ่มต้นในความคิด
ผมได้เริ่มแล้ว คุณล่ะ...เริ่มหรือยัง?
เพียงแต่เราคิดว่าเราทำไม่ได้...เราจะทำไม่ได้
เพียงแต่เราคิด...เราจะเป็นอย่างที่คิด
หากเราคิดว่าเราไม่กล้า...เราจะไม่กล้าตลอดไป
หากเราต้องการความสำเร็จ...แต่เราคิดว่าเราทำไม่ได้
เราก็จะทำไม่ได้อย่างที่คิด
หากเราคิดว่าเราสูญเสีย...เราได้สูญเสียตั้งแต่วินาทีนั้น


จากการค้นพบของชาวโลก...พิสูจน์ให้เห็นว่าความสำเร็จนั้น...เกิดขึ้นจามความปรา รถนาอย่างแรงกล้า


ทั้งหมดนี้อยู่ที่ใจเราเราต้องเชื่อมั่นใจตนเอง...ก่อนที่จะได้รับรางวัลและชัย ชนะ
ชีวิตแห่งการต่อสู้
ไม่ได้เป็นของผู้วิ่งเร็วกว่าหรือแข็งแรงกว่าแต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้น
เฉพาะกับคนที่เขาคิดว่า " เขาทำได้ "
ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้

การตัดสินใจของผู้นำ

การตัดสินใจของผู้นำ
จากการตัดสินใจของ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ด้วยเหตุผลห่วงใยในความสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจและความทุกข์ยากของประชาชนในประเทศ มากกว่าการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลการตัดสินใจครั้งนี้ กลับมีผลบานปลาย นอกจากจะไม่สามารถสร้างอำนาจต่อรองกับพรรคพลังประชาชนได้แล้ว ยังส่งผลให้ลูกพรรคต้องหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ ทำให้เกิดการเสื่อมศรัธราจากลูกพรรค และที่สำคัญก็กลายเป็นเรื่องโปกฮาในสายตาประชาชน


เป็นอย่างไรบ้างครับ เพียงแค่หัวหน้าพรรคการเมืองทำการตัดสินใจเรื่องการเสนอรายชื่อบุคคลในพรรคเพื่อปรับคณะรัฐมนตรี แต่กลับไปประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล นั่นเป็นการตัดสินใจของผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลแต่เพียงคนเดียวหรือกลุ่มคนที่ใกล้ชิดนายสุวิทย์ก็ตาม กลับเกิดผลกระทบในทางลบมากกว่าทางบวกมากมาย


กระบวนการตัดสินใจของบุคคลที่มีบทบาทในฐานะผู้นำนั้น มีความสำคัญมาก ซึ่งถ้าตัดสินใจถูกก็จะนำองค์การไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าตัดสินใจผิดพลาดก็จะนำองค์การไปสู่ความถดถอยหรือความล่มสลายได้ ดังนั้นในการตัดสินใจของผู้นำมีข้อควรคำนึง ดังนี้
ตัดสินใจเกี่ยวกับอะไรหรือเพื่ออะไร (Decision Statement)
โดยผู้ที่ทำการตัดสินใจจะต้องทราบปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี และศึกษาข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงสภาวะแวดล้อมในสถานการณ์นั้น ๆ

เกณฑ์หรือมาตรฐานที่ใช้ในการตัดสินใจ (Criteria)
ผู้ที่ทำการตัดสินใจจะต้องรักษามาตรฐานในระเบียบ กฎเกณฑ์ขององค์กรให้ดี หากเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน ก็ให้ทำการตั้งเกณฑ์ขึ้นใหม่ โดยให้สอดคล้องกับค่านิยม หรือวัฒนธรรม ของสังคมนั้น การกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นนั้น จะช่วยลดเวลาในการกำหนดตัวเลือกไม่เข้าลักษณะตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้

การกำหนดตัวเลือก (Alternatives)
หลังจากได้มาตรฐานเพื่อช่วยคัดสรรตัวเลือกหรือทางเลือกแล้ว ผู้ที่ทำการตัดสินใจควรจะมีตัวเลือกสัก 2 -3 ตัวเลือก เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจ

เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของตัวเลือกแต่ละตัว (Benefits and Risks Analysis)
ขั้นตอนการเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสีย ของตัวเลือกแต่ละตัวนั้น ต้องระวังเป็นอย่างมากในการกำหนดคุณลักษณะของข้อดีและข้อเสียไม่ตรงกันหรือวางผิดตำแหน่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาพลวงตาในการเปรียบเทียบตัวเลือกที่จะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมได้

การตัดสินใจ (Decision)
เมื่อผ่านขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น ในท้ายที่สุดต้องมาถึงช่วงเวลาของการตัดสินใจ ผู้นำอาจใช้วิธีการตัดสินใจ ดังนี้
5.1 .ใช้ประสบการณ์หรือดุลพินิจ (Experience) วิธีนี้ผู้นำที่มีประสบการณ์มาก ๆ ย่อมตัดสินใจได้ง่าย และยิ่งผู้นำที่ผ่านกระบวนการตัดสินใจบ่อยๆ ก็จะมองเห็นปัญหานั้นเป็นเรื่องง่าย ตัดสินใจเร็ว ตามรูปแบบปัญหาเดิมจากประสบการณ์เดิมในอดีต แต่วิธีนี้อาจมีผลเสียเกิดขึ้นได้ หากใช้กับการตัดสินใจในปัญหาเดิมแต่อยู่ในสถานการณ์ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ย่อมอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้


5.2 .ใช้ยุทธวิธีการรีรอ (Delay Tactics)วิธีนี้ใช้กับปัญหาบางอย่างที่ผู้นำมองเห็นหรือคาดการว่าสามารถคลี่คลายไปได้เอง โดยประวิงเวลาให้สถานการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลงไป หากรีบร้อนตัดสินใจลงมือแก้ปัญหาทันที อาจเกิดผลกระทบเสียหายมากกว่า


5.3 .ใช้ตัวแบบในเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) วิธีนี้เป็นการวิเคราะห์
ปัญหาโดยใช้ ข้อมูล ทฤษฎี ตัวเลข มากประมวลผลได้ ผลเสีย เพื่อการตัดสินใจที่คุ้มค่าและลดความเสี่ยง แต่การตัดสินใจวิธีนี้ต้องเป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ปกติ มีเวลาเพียงพอในการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด


5.4 .ใช้การระดมสมอง (Brainstorming) วิธีนี้ผู้นำจะต้องกระตุ้นให้สมาชิกที่ร่วม
ในการตัดสินใจ นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยใช้วิธีการหามติเอกฉันท์ร่วมกัน (Consensus) เพื่อให้เกิดการย่อมรับและไม่เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ซึ่งผู้นำคนเดียวก็มักจะมีรูปแบบของการตัดสินใจเฉพาะตัว จึงทำให้เกิดข้อจำกัดทางความคิดจึงจะต้องอาศัยมุมมองจากความคิดของผู้อื่นบาง เพื่อให้เกิดตัวประกอบใหม่ๆ ในทางปัญญาที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง ซึ่งการระดมสมองนี้มักใช้กับสถานการณ์ที่บีบคั้น หรือมีเวลาจำกัด

สรุปได้ว่า ผู้นำจะต้องฝึกฝนกระบวนการตัดสินใจให้ดี เพราะบทบาทของผู้นำจะทำงานในเชิงปฏิบัติการน้อยลง วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องที่ให้ตัดสินใจมากมายหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญต่อองค์การทั้งสิ้น และระดับความเสียหายของการตัดสินใจผิดพลาดย่อมสูงขึ้นตามลำดับ ลูกน้องตัดสินใจทำงานผิดยังคงพอแก้ไขได้แต่ถ้าผู้นำตัดสินใจในนโยบายพลาดอาจนำไปสู่ความล่มสลายขององค์กร ดังนั้นผู้นำจะต้องพัฒนาภาวะผู้นำในการตัดสินใจที่ดี จึงจะเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับ

เขียนโดย สโรช พชรกูล
วิทยากรและนักเขียน

เอาชนะความเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย

เอาชนะความเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย
สาวๆ ที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำและรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องดี แต่บางทีคุณก็อาจเบื่อหน่ายการออกำลังกายขึ้นมาเฉยๆ แต่ก่อนที่คุณจะพ่ายแพ้หัวใจตัวเอง เรามีวิธีดีๆ มาช่วยคุณเอาชนะความรู้สึกนั้นแล้ว

- ประเมินกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณในขณะนี้เสียก่อน เพื่อชี้ชัดให้ได้ว่าอะไรที่ทำให้คุณเบื่อการออกำลังกายแล้ว ลองหันไปเพิ่มความหลากหลายใหม่ๆ ให้กิจกรรมที่คุณโปรดปราน เช่น หันมาเล่น Kick Boxing แทนการเต้นแอโรบิก หรือเล่นฟรีเวต แทนเครื่อง สิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้กิจวัตรเดิมๆ มีชีวิตชีวาขึ้น หรือถ้าคุณเคยออกกำลังแต่ในฟิตเนส ก็ลองไปออกกำลังตามสวนสาธารณะบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

- เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เพียงพอ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เริ่มต้นทำกิจกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลองทำ เช่น ถ้าคุณเคยชินอยู่กับการเล่นกีฬาคนเดียว ลองหันมาเล่นกีฬาแบบทีมดูบ้าง หรือพยายามทำสิ่งที่คุณไม่ชอบมาโดยตลอด เช่น การเล่นกีฬาแอดเวนเจอร์ อย่าง ขี่จักรยานเสือภูเขา การปีนหน้าผา ฯลฯ

- หาเพื่อนออกกำลังกาย การออกกำลังกายคนเดียวเหมือนกับการได้พักผ่อนจากวันที่ยุ่งเหยิง แต่บางทีการออกกำลังกายก็ต้องการเพื่อนที่จะช่วยให้คุณได้สังสรรค์ไปในตัว ซึ่งการชวนเพื่อนไปออกกำลังกายด้วยกัน จะทำให้คุณไม่อยากงดออกกำลังกาย เนื่องจากมีคนรออยู่ การมีคนมาออกกำลังกายด้วยยังหมายถึงการท้าทายให้คุณพัฒนาทักษะการออกกำลังกายให้ดีข


- ตั้งเป้าหมายท้าทายตัวเอง หลายคนตั้งใจออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่การตั้งเป้าหมายบางอย่างเช่น การร่วมวิ่งแข่งมาราธอน หรือการแข่งว่ายน้ำ จะทำให้การออกกำลังกายของคุณในแต่ละวันมีความหมายขึ้น

- เพิ่มความหลากหลาย การออกกำลังกายหลายๆ อย่างสลับไปมา เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแก้เบื่อการออกกำลังกายได้ดี ถ้าปกติคุณออกำลังกายแค่อย่างเดียว ก็ลองสลับด้วยกิจกรรมอื่นๆ สัก 2-3 วัน ในหนึ่งสัปดาห์ โดยควรให้โปรแกรมการออกกำลังกายของคุณครบถ้วน ทั้งการออกกำลังบริหารหัวใจ การฝึกความแข็งแรง และการยืดกล้ามเนื้อของร่างกาย

- ของเล่นใหม่ๆ อุปกรณ์ในการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อาจไม่ใช่ของจำเป็น แต่มันอาจช่วยให้การออกกำลังกายของคุณสนุกและเพลิดเพลินขึ้น

- หยุดพัก บางครั้งคุณต้องการเวลาพักสักหน่อย ในกรณีนี้ลองลดกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณลงบ้างและแทนที่ด้วยกิจกรรมอื่น คุณอาจพบสิ่งที่คุณสนุกกับมันได้มากกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เคยโปรดปรานก


ที่มา ... เนเวอร์เอจ

พาเที่ยว เขื่อนแก่งกระจาน/ Kaeng Krachan Dam

เขื่อนแก่งกระจาน/ Kaeng Krachan Dam
เขื่อนบ้านเรา มีความสวยงามในแบบของบ้านเราครับ...อยากให้เพื่อนๆหาเวลาวันหยุด
ลองไปเที่ยวตามเขื่อนต่างๆดูสักครั้ง ไปกางเต๊นท์ แคมป์ รับรองว่าจะติดใจ
เพชรบุรี เป็นเมืองเก่าแก่ เคยเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญชั้นเมืองลูกหลวงของไทยมาช้านาน และมีชื่อเสียงเลื่องลือ หลายด้านนอกจากจะเคยเป็นเมืองที่ประทับของอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงค์จักรี ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง ซึ่งรวมทั้งเขื่อนเพื่อการชลประทานและผลิตไฟฟ้าที่สำคัญและมีความงดงาม นั่นคือ เขื่อนแก่งกระจาน


ลักษณะเขื่อน
เขื่อนแก่งกระจานกั้นแม่น้ำเพชร ที่บริเวณเขาเจ้า และเขาไม้รวกประชิดกับ ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี อยู่ทางด้านเหนือน้ำของเขื่อนเพชรขึ้นไปตามถนน 27 กิโลเมตร เป็นเขื่อนดิน สูง 58 เมตร สันเขื่อนยาว 760 เมตร กว้าง 8 เมตร ระดับสันเขื่อน 106 เมตร รทก.(ระดับน้ำทะเลปานกลาง)

นอกจากนี้ ยังมีเขื่อนดินปิดเขาต่ำทางขวางเขื่อนอีก 2 แห่ง คือ แห่งแรกสูง 36 เมตร สันเขื่อนยาว 305 เมตร แห่งที่ 2 สูง 24 เมตร สันเขื่อนยาว 255 เมตร เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำได้มากขึ้น

อ่างเก็บน้ำ
มีพื้นที่ 46.5 ตารางกิโลเมตร ความจุ 710 ล้านลูกบาศก์เมตร
ประโยชน์
เขื่อนแก่งกระจานเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ ประโยชน์ที่ได้จากเขื่อนมีหลายประการ คือ
เขื่อนแก่งกระจานสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 19,000 กิโลวัตต์ ให้พลังงานเฉลี่ยประมาณ ปีละ 70 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง

สามารถขยายพื้นที่ชลประทานของ โครงการเพชรบุรี ซึ่งเดิมมีอยู่จำนวน 214,000 ไร่ เพิ่มเป็น 336,000 ไร่ และเพื่อการเกษตร การเพาะปลูกในฤดูแล้งได้ 174,000 ไร่ รวมทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหา การขาดแคลนน้ำ เพื่อการอุปโภค บริโภค ตั้งแต่ปากอ่าวเพชรบุรี จนถึงหัวหินให้หมดไป และช่วยบรรเทาอุทกภัย ในทุ่งเพชรบุรีด้วย

เป็นแหล่งส่งเสริมการประมง

เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี

เ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

เป็นอุทยานที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพื้นที่ถึง 2,915 ตารางกิโลเมตร หรือ 1.8 ล้านไร่ ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2524 โดยกำหนดพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำและป่าเหนือเขื่อนแก่งกระจานเป็นเขตอุทยานฯ เป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำหลายสาย พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานฯ เป็นภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ในเทือกเขาตะนาวศรี สภาพภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้น ยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานฯ คือยอดเขางะงันนิกยวงตอง อยู่ในเขตรอยต่อประเทศพม่าและไทย มีความสูง 1,513 เมตร รองลงมาคือยอดเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งมีความสูง 1,207 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จากสันเขื่อนแก่งกระจาน มีถนนเลียบออกมาทางซ้ายมือเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยาน


สถานที่น่าสนใจภายในอุทยานฯ

ทะเลสาบ มีเนื้อที่ประมาณ 45 ตารางกิโลเมตร มีเกาะกลางแม่น้ำอยู่มากมายหลายเกาะ นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะล่องเรือชมทิวทัศน์เพื่อพักผ่อนหรือตกปลาน้ำจืดในทะเลสาบ ก็สามารถเช่าเรือได้ที่ร้านอาหารหรือชมรมเรือที่อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ



เขาพะเนินทุ่ง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานฯ ในเขตประเทศไทยอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 50 กิโลเมตรเป็นภูเขาสูง มีบริเวณที่เป็นทุ่งหญ้ากว้าง ในระดับความสูง 960 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณโดยรอบเป็นป่าดิบเขา มีสัตว์ป่าชุกชุม มีทิวทัศน์งดงาม จากยอดเขาสามารถเห็นทะเลหมอกในช่วงฤดูฝนต่อฤดูหนาว การเดินทางต้องใช้เวลา 2 วัน พักค้างแรม 1 คืนระหว่างทาง และติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทาง อาหารและเต็นท์สำหรับพักค้างแรมไปเอง


อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยว และมีสถานที่กางเต็นท์บริเวณอ่างเก็บน้ำ บริเวณเขาพะเนินทุ่ง และบริเวณแค้มป์บ้านกร่าง อุทยานฯ มีเต็นท์ให้เช่าราคาหลังละ 100 บาท/คืน ค่าธรรมเนียมในการใช้สถานที่กางเต็นท์ 30 บาท/คืน สามารถติดต่อจองที่พักได้ที่ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. 579-7223, 579-5734 หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแก่งกระจาน โทร. (032) 459293



การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถึงอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านแยกเข้าตัวเมืองเพชรบุรี จะถึงสี่แยกท่ายาง เลี้ยวขวาเข้าอำเภอท่ายาง จากนั้นวิ่งไปตามถนนเลียบคลองชลประทาน ตามทางหลวงหมายเลข 3499 ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ก็จะถึงอำเภอแก่งกระจาน จากปากทางเข้าอุทยานฯ อีก 4 กิโลเมตรจะถึงที่ทำการอุทยานฯ และหากเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง จะมีรถสายกรุงเทพฯ-ท่ายาง ลงที่ตลาดท่ายาง จากนั้นต่อรถสองแถวไปตลาดแก่งกระจาน และต่อรถรับจ้างหรือจักรยานยนต์ไปอีก 4 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานฯ




เขื่อนแก่งกระจาน เป็นเขื่อนดิน อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เหมาะแก่การพักผ่อนแบบแค้มป์ปิ้ง หรือผู้ที่ชื่นชอบการตกปลา ก็สามารถเข้ามาตกปลาได้ ลักษณะการพักผ่อนแบบสบายๆ

การเดินทาง การกรุงเทพฯ ใช้เส้นทาง ถ.พระราม2 ขับจนมาถึง ตัวเมืองเพชรบุรี ให้ขับเลยต่อไปอีก ประมาณ 10 กม. จะเห็นป้ายเขื่อนเพชร จากจุดนี้เลี้ยวขวา แล้วขับไปตามทางอีกประมาณ 47 กม. จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ก็จะถึงเขื่อน



สถานที่กางเต็นท์พักแรม ทางอุทยานได้เตรียมสถานที่ไว้ให้ พร้อมทั้งห้องน้ำ - ห้องอาบน้ำในบริเวณใกล้เคียง และยังมีบริการให้เช่าเต็นท์ และเครื่องนอน สำหรับอาหารการกินถ้าไม่ได้เตรียมไป ก็ยังมีร้านอาหารบริเวณไม่ไกล จากสถานที่ทำการอุทยานอีกหลายร้าน



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถโทรถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทร.032-459-291,032-459-293

สมัครสมาชิกข้อมูลเชิงลึกด้วย email

Enter your email address:

Delivered by FeedBurner